“สังคม ทองมี” ครูผู้เปิดโลกกว้างการเรียนรู้ด้วย “ศิลปะ”
ต่อยอด “ความงดงาม” ในงานศิลป์ พัฒนาสู่คุณค่าใน “ตัวคน”
“ผมอยู่ในช่วง 14 ตุลา ที่ตอนนั้นในคณะคุรุศาสตร์มีคำกล่าวที่ว่า go up country when you are young ไปชนบทเถอะ ในขณะที่คุณยังเป็นหนุ่มสาว ก็เลยตัดสินใจมานี่ ในปี พ.ศ. 2521 มีสอบอยู่คนเดียว ก็มาเป็นครูที่โรงเรียนศรีสงครามวิทยา วังสะพุงตอนนั้นเป็นอำเภอใหญ่ นักเรียนเยอะมาก เป็นศูนย์กลางที่เด็กพันกว่าคนต้องเดินทางมายี่สิบสามสิบกิโลจากหมู่บ้านเพื่อมาเรียน”
เป็นคำบอกเล่าถึงแรงบันดาลใจของ “ครูสังคม ทองมี” ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ครูผู้เป็นต้นรากแห่งแรงบันดาลใจของวงการศิลปศึกษาในยุคปัจจุบัน อดีตครูสอนศิลปะของ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในแวดวงศิลปะจากการส่งผลงานศิลปะของเด็กๆ เข้าประกวดจนได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศและในระดับนานาชาติมากมาย
จากความทุ่มเทมาตลอดทั้งชีวิตในการนำศิลปะมาพัฒนาการเรียนรู้และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส ทำให้ “ครูสังคม” ได้รับการเสนอชื่อเป็นครูผู้สมควรได้รับพระราชทาน “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” และผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัลในระดับ “ครูยิ่งคุณ” ประจำปี 2558 ของ มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และ กระทรวงศึกษาธิการ
“ครูสังคม ทองมี” จบการศึกษาระดับบัณฑิต และมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับปริญญาดุษฏีบันฑิตกิตติมศักดิ์ และรางวัลเชิดชูเกียรติจากสถาบันต่างๆ มากมาย จนสามารถใช้คำนำหน้าว่า “ดอกเตอร์” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ก็ยินดีและพอใจที่จะให้ใครต่อใครเรียกว่า “ครูสังคม” เหมือนตั้งแต่ในวันแรกที่เลือกที่จะมาเป็น “ครู” ณ บ้านเกิดในโรงเรียนห่างไกล
ทั้งๆ ที่ตอนนั้นสถานะนักเรียนทุน AFS ที่ LAGUNA BLANCA SCHOOL แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เข้าร่วมโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ ไปประเทศสมาคมอาเซียนและญี่ปุ่น และเป็นนิสิตทุน American woman club ผู้จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสทั้งการไปศึกษาต่อและทำงานที่ต่างประเทศหรือเลือกงานดี เงินเดือนดี ในเมืองหลวงก็ได้
“ผมมองเห็นว่าโอกาสมีไม่มากนักสำหรับเด็กชนบท สังคมไม่มีค่านิยม ไม่มีทัศนคติที่ดี มองไม่เห็นคุณค่าศิลปะ เป็นความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษา นี่ก็คือประเด็นใหญ่ที่ทำให้ผมเลือกมาที่นี่”
“ และประเด็นที่สอง ผมอยากพิสูจน์ความคิดของผมว่า เด็กที่ขาดโอกาสไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีพื้นฐานทางความรู้ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ อยู่ในครอบครัวที่ขาดแคลน จะสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะหรือไม่” ครูสังคมเล่าย้อนถึงความคิดและจุดเปลี่ยนของการตัดสินใจ
ในปี 2521 “ครูสังคม” เปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนวิชาศิลปะ จากวิชาที่มีคะแนนแค่เพียง 10 คะแนนซึ่งไม่มีใครสนใจ เปลี่ยนการสอนโดยออกจากห้องเรียนคับแคบ สู่ห้องเรียนในทุกพื้นที่ๆ กว้างใหญ่และสนุกสนาน ไม่ต้องจำเจอยู่กับการนั่งโต๊ะและการท่องจำ มีการสอนพิเศษด้านศิลปะในช่วงเย็น และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เงินเดือนครูอันน้อยนิดที่ได้รับมาในแต่ละเดือนหมดไปกับค่าอุปกรณ์ทางการสอนศิลปะสำหรับเด็กยากจนที่อยู่ห่างไกลในชนบทที่เดินทางกลับบ้านไม่สะดวก นั่นจึงเป็นที่มาของการรับเด็กนักเรียนเข้ามาพักในโรงเรียนและฝากเด็กๆ เหล่านี้ไว้กับตามบ้านของเพื่อนครู
ไม่ใช่แค่สอนศิลปะแค่นั้น สำหรับเด็กที่มาพักค้างและเรียนพิเศษที่โรงเรียน “ครูสังคม” จะสอนวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาสามัญอื่นๆ เพื่อให้เด็กมีพื้นฐานความรู้ที่ดียิ่งขึ้น ทำให้นักเรียนกลุ่มที่ชอบวิชาศิลปะบางคนสามารถทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมได้เกรด 4 ทุกวิชา และสอบได้ที่ 1 หรือลำดับต้นๆ ของโรงเรียน ซึ่งสร้างความดีใจและภูมิใจให้แก่ทั้งตัวของเด็กนักเรียนและผู้ปกครองเป็นอย่างยิ่ง
ในปี 2523 “ครูสังคม” นำผลงานศิลปะของเด็กๆ โรงเรียนศรีสงครามวิทยา เข้าประกวดใน งานแสดงศิลปะเด็กแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ปรากฏว่าลูกศิษย์ของครูสังคมกวาดทั้งรางวัลยอดเยี่ยม รางวัลดีเด่น และรางวัลสร้างสรรค์ รวมแล้วหลายสิบรางวัล ท่ามกลางความตื่นตะลึงของบรรดาครูผู้สอนศิลปะทั่วประเทศ ต่างถามกันเป็นเสียงเดียวว่า โรงเรียนนี้อยู่ที่ไหน? วังสะพุงอยู่ตรงไหนของประเทศไทย? และจากนั้น ชื่อของเด็กศิลปะศรีสงครามก็สร้างชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับนานาชาติ
“จากเด็กๆ ที่ไม่กล้าแสดงออกแม้แต่จะพูด เขาสามารถที่จะพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพผลงานทางด้านทัศนศิลป์ ทางด้านพฤติกรรมก็กล้าแสดงออกมากขึ้น ในเชิงจิตวิทยาก็คือ มีความมั่นใจ เด็กสังคมชนบทอย่างพวกเขาได้รับการยอมรับจากสังคม และตัวผลงานก็มีคุณค่าด้านทัศนศิลป์ เราพัฒนาจนถึงระดับเป็นที่ยอมรับระดับประเทศและนานาชาติภายใน 3 ปี ตรงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในเชิงรูปธรรม”
ครูสังคมชี้ให้เห็นว่า ผลสำเร็จในการทำงานของตนเองนั้น มิใช่แค่การทำให้เด็กๆ ได้รับรางวัล แต่เป็นการสร้างโอกาสของเด็กด้อยโอกาสในจังหวัดห่างไกลที่จะได้การยอมรับจากสังคม และเปิดโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นด้วยทุนเล่าเรียนจากความสามารถพิเศษทางด้านศิลปะ
“ผมไม่ได้สอนแค่วิชาศิลปะ หรือสอนเด็กเพื่อส่งงานเข้าประกวด แต่ผมมองมิติเรื่องความเหลื่อมล้ำ เท่าที่เห็นมามีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โอกาสทางการศึกษามันหายไปเพราะไม่มีเงินมาเรียน ไม่มีเงินเสียค่าเทอม ไม่มีเงินค่ารถมาเรียน เด็กจึงหายไป การที่เด็กได้รางวัลไม่ใช่เรื่องหลัก แต่ทุนและโอกาสทางการศึกษาที่เขาจะได้หลังรับรางวัลเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการเปิดโอกาสให้เขา”
แม้ว่า “ครูสังคม” จะพูดเสมอว่า รางวัลที่มากกว่า 3,000 รางวัลจากทั่วโลกเป็นของเด็ก ไม่ใช่รางวัลของตนเอง แต่รางวัลเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสามารถของครูสังคมเป็นอย่างดี จนได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรทางด้านศิลปศึกษาในหลายระดับทั้งราชการและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์บ่มเพาะ และพัฒนานักเรียนผู้มีความสามารถพิเศษด้านทัศนศิลป์ และผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร จังหวัดเลย อีกด้วย
ทั้งๆ ที่มีความสามารถและเป็นที่ต้องการของทุกหน่วยงาน จากวันแรกที่เรียนจบจนถึงวันสุดท้ายของอาชีพข้าราชการ “ครูสังคม” ก็ยังยินดีที่จะทำหน้าที่ “ครู” สอนศิลปะตามอุดมการณ์มิเคยเปลี่ยนแปลง โดยอุทิศทั้งเวลา แรงกาย และแรงใจในการเป็นวิทยากรทางด้านศิลปะให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตลอดมา
“ลักษณะของการทำงานของผมก็อาจจะเป็นตัวอย่างได้บ้างในบางมิติ แต่โดยรวมก็คือ มีความตั้งใจจริงในการที่เป็นครู ครูต้องมีความรู้ ต้องมีการพัฒนาให้ทันโลกตลอดเวลาไม่ว่าสาขาวิชาใด และต้องรู้และเข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านศิลปะ ถ้ามีความเข้าใจและได้นำมาใช้ มาทดลองกับตัวเอง จะสร้างความมั่นใจให้กับคุณครูที่จะสอนศิลปะทั้งหลายได้เป็นอย่างดี” ครูสังคมกล่าวฝากข้อคิดในการทำงานถึงครูผู้สอนศิลปะรุ่นใหม่ๆ
สำหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี นับเป็นรางวัลระดับนานาชาติเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระปรีชาด้านการศึกษา โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตตั้งนาม“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ สร้างคุณประโยชน์ต่อการศึกษาในประเทศต่างๆ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 11 ประเทศ ประเทศละ 1 รางวัล โดยจัดมอบรางวัลในทุก 2 ปี ซึ่งจะพระราชทานรางวัลครั้งแรกในวันที่ 2 ตุลาคม 2558.