ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2568 ร่วมย้ำบทบาทครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีได้จัดเวทีเสวนานำเสนอผลงานครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2568
โดยมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีร่วมแบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดที่เน้น “การศึกษาที่มีคุณภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน”
แบ่งการเสวนาในหัวข้อหลัก 4 เรื่อง โดยมี ดร.ทินสิริ ศิริโพธิ์ ดำเนินรายการ ดังนี้

 โดยมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีจากบรูไนดารุสลาม มาเลเซีย และเวียดนามเข้าร่วมแลกเปลี่ยน  ซึ่งครูแต่ละท่านได้เน้นย้ำบทบาทของเทคโนโลยีกับการสอน ดังเช่น

  • นางชาริฟะฮ์ ฮาจี โมห์ด ชาห์ลัน (บรูไน) : สอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติผ่านโครงงาน เช่น ถังขยะอัจฉริยะ และระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ โดยใช้ Arduino และหุ่นยนต์ เธอเน้นว่า “การเรียนรู้ที่ดีต้องให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกในสถานการณ์จริง”
  • ทีเอส. โมฮัมหมัด รอสนิซัม บิน โมฮัมหมัด (มาเลเซีย): นำเสนอแนวคิด “New Face of Agriculture” สอนการเกษตรสมัยใหม่ด้วย IoT, AI และการแปรรูปผลผลิต เช่น แอปเกษตรที่ช่วยให้ชาวบ้านจัดการผลผลิตได้ดีขึ้น โดยเน้นย้ำว่า “นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเมืองใหญ่ แต่มาจากปัญหาในชุมชนของเรา”
  • ครูเหงียน ถิ ถู ลาน (เวียดนาม): เชื่อมเทคโนโลยีกับการเรียนในระดับปฐมวัย เช่น Smart Classroom และการเรียนรู้ผ่านการเล่น เธอกล่าวว่า “การเรียนรู้ที่ดี เริ่มต้นจากห้องเรียนที่เด็กมีความสุข”

ทั้งนี้ สรุปสาระสำคัญร่วมจากครูทุกท่านได้ว่า การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ลงมือปฏิบัติจริงและตอบโจทย์อนาคตนั่น คือความท้าทายของโลกยุคใหม่ และครูต้องเท่าทันและใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เพื่อประโยชน์แก่นักเรียนอย่างสูงสุด

โดยมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีจากบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ ประเทศไทย และติมอร์ – เลสเต เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ซึ่งครูแต่ละท่านได้ชี้ถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันกับชุมชน อาทิ

  • ครูโมฮัมหมัด ชาฟิอุล อิสลาม (บังกลาเทศ): ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน สื่อสารกับผู้ปกครอง และใช้เทคโนโลยีช่วยผู้เรียน เขาเปรียบครูว่าเป็น “ตะเกียงส่องทาง” และย้ำว่า “ครูไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่ต้องพร้อมเรียนรู้ไปกับนักเรียน”
  • ครูเลอา โดมิงโก (ฟิลิปปินส์): ใช้โครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น “แลกขยะเป็นอุปกรณ์การเรียน” และ “ปลูกต้นไม้ในเดือนเกิด” เพื่อสร้างจิตสำนึกของเด็ก เธอเชื่อว่า “หัวใจของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่การมีส่วนร่วมของทั้งชุมชน”
  • ครูไพรวัลย์ ยาปัญ (ครูมด) (ประเทศไทย): ทำงานกับเด็กไร้สัญชาติในสังขละบุรี ให้พวกเขาเข้าถึงการศึกษา และสร้างโครงการ “พี่ต้นแบบ น้องต้นกล้า” เธอกล่าวว่า “ปัญหาคือบทเรียน และไม่มีใครช่วยเด็กเหล่านี้ได้เท่ากับตัวเขาเอง”
  • ครูฟรานซิสโก เดอ คาร์วัลโญ่ (ติมอร์-เลสเต): เชี่ยวชาญการสอนแบบหลายชั้น มุ่งสร้างโรงเรียนแบบเรียนรวมที่ทุกคนเข้าถึงได้ เขาย้ำว่า “ไม่มีใครทำได้เพียงลำพัง” และการศึกษาเกิดได้จากความร่วมมือของทุกฝ่าย

ทั้งนี้ สรุปสาระสำคัญร่วมได้ว่า ครูทุกท่านชี้ว่า การเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนคือกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงการศึกษาอย่างยั่งยืน หน้าที่ของครูจึงต้องรู้จักชุมชนและสร้างการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับชุมชนท้องถิ่น และเพื่อให้เด็กเติบโตไปพร้อมๆ ชุมชนที่เข้มแข็งมั่นคง

โดยมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีจากภูฏาณ เมียนมา และสปป. ลาว เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ซึ่งครูแต่ละท่านได้ชี้ถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและครูผู้ต้องพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง

  • นางสาวชิมี เดมา (ภูฏาน): ใช้ปรัชญา “Gross National Happiness” ในการสร้างผู้เรียนที่สมดุลทั้งวิชาการและความสุข เธอเป็นผู้นำเครือข่ายครูยูเนสโก และกล่าวว่า “ครูต้องไม่หยุดเรียนรู้ เพื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้”
  • นางสาวมอว์ มอว์ (เมียนมา): สอนภาษาอังกฤษในบริบทที่ยากลำบาก เช่น นักเรียนมากกว่า 70 คนต่อห้อง เธอจัดกิจกรรมแข่งขันภาษาอังกฤษและโค้ชนักเรียนอย่างใกล้ชิด พร้อมบอกว่า “แค่ใส่ใจและวางแผนอย่างรอบคอบ ก็เปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้แล้ว”
  • นางบุนมา โพธิลาด (ลาว): ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมที่พัฒนานวัตกรรมสอนเคมีจากสมุนไพรในท้องถิ่น เช่น การทำสบู่และน้ำยาปรับผ้านุ่ม เธอย้ำว่า “ครูต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงจากตนเอง ก่อนจะเปลี่ยนระบบ”

ทั้งนี้ ในวงเสวนาได้สรุปสาระสำคัญที่ว่า ครูต้องเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต และสร้างแรงบันดาลใจให้ครูรุ่นใหม่ในชุมชน การเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอคือเครื่องมือสำคัญของผู้เป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

โดยมีครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีจากอินโดนีเซีย มองโกเลีย และสิงคโปร์  เข้าร่วมแลกเปลี่ยน ซึ่งครูแต่ละท่านได้ชี้ถึงครูผู้ต้องไม่ทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งที่ต้องจัดการเรียนรู้อย่างเข้าใจธรรมชาติเด็กและความต้องการการเรียนรู้ ดังเช่น

  • Ms. Ade Putri Sarwendah (อินโดนีเซีย): ใช้แอปพลิเคชัน GEMBIRA และโครงการฟาร์ม ABEKHA ฝึกทักษะชีวิตเด็กบกพร่องทางสติปัญญา โดยกล่าวว่า “เทคโนโลยีช่วยเปิดโลกให้เด็กพิเศษเห็นคุณค่าของตนเอง”
  • Mrs. Uyanga Adiyasuren (มองโกเลีย): เชื่อมโรงเรียนกับนายจ้างและชุมชน เช่น โรงงาน สนามบิน เพื่อฝึกอาชีพให้เด็กพิเศษ เธอยืนยันว่า “การเข้าใจผู้เรียน คือกุญแจสำคัญของการศึกษาแบบมีหัวใจ”
  • Mdm. Ang Sing Yee (สิงคโปร์): สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตในโรงเรียนและจัดกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ เช่น Tender Tuesdays และ Purple Parade เธอเชื่อว่า “เด็กทุกคนควรมีแชมเปี้ยนที่เชื่อมั่นในตัวเขา”

ทั้งนี้ จากเสวนาสรุปสาระสำคัญได้ว่า การศึกษาที่แท้จริงต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดใดก็ตาม ซึ่งครูคือผู้สร้างสรรค์และสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเด็กที่แตกต่างหลากหลาย ให้สามารถเติบโตอย่างมีเต็มศักยภาพได้

โดยบทสรุป การเสวนาทั้ง 4 หัวข้อในครั้งนี้ ไม่เพียงเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ร่วมงาน แต่ยังตอกย้ำบทบาทของครูในศตวรรษที่ 21 ว่าต้องเป็นทั้งผู้นำ ผู้เรียนรู้ และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อผู้เรียนทุกคน ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและศรัทธาในพลังของการศึกษาอย่างแท้จริง