วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ –๐๙.๔๐ น. ณ ห้องโลตัส สวีท ๑ –๔ ชั้น ๒๒ ได้จัดให้มีการปาฐกถาพิเศษ ๓ ในหัวข้อ “Learning: How Teachers Help Students Become Better Learners” โดยศาสตราจารย์ฮวน มิเกล ลูซ (Prof. Juan Miguel Luz) ประธานองค์กรออกแบบคุณภาพการศึกษา (Quality Education Design) และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศฟิลิปปินส์ ได้ถอดสาระสำคัญจากงานวิจัยจากรายงานของธนาคารโลกมุ่งสนใจศึกษาการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนที่ว่า “นักเรียนมาโรงเรียนเพื่ออะไร แล้วนักเรียนได้เรียนรู้อะไร” และสิ่งที่ต้องตระหนัก คือ จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้และกระบวนการให้ความรู้แก่นักเรียน ดังนั้น แม้ว่าครูจะมีความสำคัญในการทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือผู้เรียน และความสำเร็จในการเรียนรู้วัดจากความสำเร็จของนักเรียน ในกระบวนการเรียนรู้เราอาจให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ
ผลการวิจัยได้ชี้ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเรียนรู้ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่
- ผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งส่งผลต่อการศึกษาเรียนรู้ในชั้นเรียน ปัญหาหลักๆ ที่พบเช่น การเดินทางจากบ้านมาโรงเรียนมีระยะทางไกล ความพร้อมของสุขภาพร่างกาย และการขาดแคลนอาหารของเด็กนักเรียน ความสนับสนุนจากผู้ปกครอง และความสามารถในการอ่านออกและเขียนได้ของนักเรียนที่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ
- ครูผู้สอนไม่มีทักษะและความตั้งใจ โดยครูมีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ผลวิจัยของสหรัฐอเมริกาพบว่าครูที่ดีจะสามารถสอนให้เด็กเรียนรู้ได้มากกว่าในหลักสูตรการศึกษาหนึ่งถึงสองเท่า แต่หากครูขาดทักษะในการสอนแล้ว ผลการเรียนรู้ของนักเรียนจะลดลงประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของมาตรฐานการศึกษา นอกจากนี้ ผลการวิจัยพบว่ายช่วงเวลาที่ครูใช้เวลาในการสอนไม่ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตามที่ควรจะเป็น
- โรงเรียนให้การสนับสนุนไม่สอดคล้องกับทิศทางเดียวกับวัตถุประสงค์ในการสอนและการเรียนรู้ ส่งผลให้ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น มีหนังสือเรียนแต่ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในห้องเรียน มีสารเคมีแต่ไม่ถูกนำมาใช้ในห้องปฏิบัติการ มีคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ถูกนำมาใช้หรือไม่มีการสอนครูให้ใช้งานสำหรับนำมาใช้ในการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน ดังนั้นโรงเรียนควรจะพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งาน
- การบริหารจัดการโรงเรียนไม่ไปในทิศทางเดียวกับวัตถุประสงค์ในการสอนและการเรียนรู้ บางครั้ง ผู้บริหารโรงเรียนสนใจเฉพาะมาตรฐานตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด แต่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและกระบวนการจัดการบริหารของโรงเรียน จึงให้ความสำคัญกับการให้ครูทำเอกสารมากกว่าการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน และการประเมินผลงานใช้เกณฑ์ตัดสินที่ผลงานของครู มากกว่าผลการเรียนรู้ของนักเรียน
การประเมินผล (Assessment) เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ ซึ่งต้องมีเป้าหมายชัดเจนและมีวิธีการประเมินที่เหมาะสมเพื่อให้เห็นพัฒนาการการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นของเด็ก
ศาสตราจารย์ฮวน ได้ข้อแนะนำสำหรับครูและการพัฒนาโรงเรียนจากบทเรียนของธนาคารโลก (พ.ศ.๒๕๖๑) ที่ว่า
- การวัดและการหาช่องว่าง (Gap) ในการเรียนรู้ของเด็ก รวมทั้งหาสาเหตุ และวิธีการเพื่อทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และเพิ่มความสามารถและทักษะให้กับเด็ก
- ครูควรติดตามพัฒนาการของนักเรียนทั้งในระดับชั้น และเป็นรายบุคคล โดยอาจจะติดตามเป็นรายปี หรืออาจจะติดตามเป็นภาคการศึกษา เพื่อดูว่านักเรียนแต่ละคนมีผลการเรียนรู้อย่างไร นักเรียนคนใดมีความเสี่ยงที่จะเรียนรู้ได้ลดลง และหาสาเหตุเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กต่อไป
- ทดสอบการเรียนรู้ของนักเรียนให้เป็นเรื่องปกติเสมอ
- การประเมินผลการเรียนรู้โดยเท่าเทียม ทั้งนี้ การเลือกประเมินเพียงรูปแบบเดียวอาจจะไม่สามารถบอกภาพรวมได้ทั้งหมด ดังนั้น ควรเลือกใช้การประเมินที่มีความหลากหลาย สำหรับเด็กที่มีความแตกต่างกัน
- การออกแบบหลักสูตรที่ดีอาจจะไม่เพียงพอ แต่ควรมีการอำนวยความสะดวกเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถลงมือปฏิบัติได้ด้วย เช่น การทำโครงงาน การนำเสนอผลงาน เป็นต้น
- สร้างตัวชี้วัดทำให้สามารถนำไปพัฒนาปรังปรุงแก้ไขข้อบกพร่องได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แต่สามารถเรียนรู้จากแนวทางปฏิบัติที่ดีของคนอื่นหรือประเทศอื่น
ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญที่จะละไว้ไม่ได้คือ ครูที่มีหัวใจของการเป็นครูที่มิใช่เพียงการพัฒนาผู้เรียนในประสบความสำเร็จด้านการเรียนรู้ แต่ต้องพาผู้เรียนไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และแรงบันดาลใจในชีวิต
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
-
ผู้นำ SEAMEO ประเทศอินโดนีเซียชี้การศึกษาในอนาคตท้าทายทักษะครูยุคใหม่
-
ประธานองค์กรออกแบบคุณภาพการศึกษา ประเทศฟิลิปปินส์ชี้คุณภาพเด็กไม่ใช่แค่ผลสัมฤทธิ์แต่คือชีวิตแห่งการเรียนรู้ที่ต้องการครูที่เข้าใจ
-
แง่คิดการพัฒนาโรงเรียนบนฐานผลการวิจัย นัยกับการพัฒนาครู